ในโลกยุคใหม่ เราคุ้นเคยกับสีสังเคราะห์ที่เหมือนกันไปหมดทุกระเบียดนิ้วราวกับปั๊มออกมาจากแม่พิมพ์ แต่ถ้าคุณลองพาตัวเองออกเดินทางไปยังภาคอีสานของไทย โดยเฉพาะที่จังหวัดสกลนคร คุณจะพบคำตอบอีกแบบ
ที่นั่น... ภายในหม้อดินเผาก้นลึก มีบางอย่างที่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตกำลังหายใจ ส่งเสียงปุด ๆ เบา ๆ และต้องการอาหารเฉกเช่นเดียวกับเรา ชาวบ้านเรียกมันว่า ‘หม้อคราม’ และสิ่งที่ได้จากมันคือ ‘สีคราม’ (Indigo) เฉดสีน้ำเงินลึกลับที่มนุษยชาติหลงรักมานานกว่า 6,000 ปี

ครามไม่ใช่แค่สี แต่มันคือ ‘วิญญาณของธรรมชาติ’
จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ สีครามเดินทางผ่านกาลเวลามาพร้อมกับอารยธรรมมนุษย์ ตั้งแต่อินเดีย จีน มาจนถึงลุ่มแม่น้ำโขง แต่สิ่งที่ทำให้ ‘ผ้าครามสกลนคร’ พิเศษจนกลายเป็น Soft Power ระดับโลกในขณะนี้ ไม่ใช่แค่ความเก่าแก่ แต่คือ ‘ความใส่ใจ’
ปราชญ์ชาวบ้านเล่าว่า การเลี้ยงครามเหมือนการเลี้ยงลูก หม้อครามต้องการน้ำตาลมะขามเปียก หรือเหล้าขาวเป็นอาหาร เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงาน ถ้าดูแลไม่ดี หรือแม้แต่ ‘พูดคำหยาบ’ ใส่หม้อ (ตามความเชื่อโบราณ) ครามก็อาจจะ ‘หนี’ หรือสีไม่ติดผ้าได้
นี่คือเสน่ห์ของงานคราฟต์ที่ AI หรือโรงงานอุตสาหกรรมเลียนแบบไม่ได้ มันคือความไม่สมบูรณ์แบบที่งดงามในทุกอณูของเส้นใย


จาก ‘เสื้อชาวนา’ สู่ ‘รันเวย์โลก’
ในอดีต ผ้าย้อมครามอาจเป็นภาพจำของชุดชาวนาที่สวมใส่เพื่อความทนทาน แต่ในทศวรรษที่ผ่านมา เกิดคลื่นลูกใหม่ของการรื้อฟื้นภูมิปัญญาที่น่าตื่นตาตื่นใจ
เราเห็นการเปลี่ยนแปลงจากลายมัดหมี่เดิม ๆ สู่ลวดลายร่วมสมัย (Contemporary Design) ที่ดูเรียบง่าย ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็น ‘Wearable Art’ ที่ชาวญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกาถวิลหา เพราะเทรนด์โลกกำลังหมุนกลับมาหาความยั่งยืน (Sustainability) และผ้าครามไทยก็คือคำตอบที่ใช่ที่สุด เพราะมาจากธรรมชาติล้วน ๆ 100% ไม่มีสารเคมีเจือปน จึงปลอดภัยกับผิวเรา และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

ปักหมุด 3 แหล่งบ่มเพาะลมหายใจสีฟ้า
ถ้าคุณเริ่มหลงรักเจ้าสีน้ำเงินนี้แล้ว เราอยากชวนคุณไปสัมผัส 3 หมุดหมายที่ ‘ต้องไป’ เพื่อให้เห็นทั้งรากเหง้าและอนาคตของผ้าคราม
1. บ้านดอนกอย
ตั้งอยู่ที่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
ที่นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ภายใต้พระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทำให้ผ้าย้อมครามบ้านดอนกอย พลิกโฉมจากสินค้าโอทอปทั่วไป สู่ความเป็นแฟชั่นสากล มีการใช้ทฤษฎีสีและเทคนิคการทอที่ซับซ้อน เป็นกรณีศึกษาที่น่าทึ่งว่า ‘ภูมิปัญญา’ กับ ‘ความทันสมัย’ เดินไปด้วยกันได้อย่างไร
2. บ้านคำประมง
ตั้งอยู่ที่ ต.สว่าง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
แต่หากอยากสัมผัสความอบอุ่นของคำว่า ‘ชุมชน’ ต้องมาที่นี่ กลุ่มทอผ้าย้อมครามที่เกิดจากการรวมตัวของแม่บ้านที่เริ่มจากศูนย์ จนกลายเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ คุณจะได้เห็นกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ และรอยยิ้มของผู้คนที่ภูมิใจในงานฝีมือของตนเอง
3. ถนนผ้าคราม (ใจกลางเมืองสกลฯ)
ตั้งอยู่บริเวณหน้า วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ในตัวเมืองสกลนคร
เปิดเฉพาะ วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ 16.00 - 20.00 น.
สำหรับนักเดินทางที่มีเวลาน้อย ถนนเส้นนี้เปรียบเสมือนสวรรค์ เพราะพื้นที่ตรงนี้จะถูกเนรมิตให้กลายเป็นถนนสายสีครามที่รวบรวมร้านค้าและงานดีไซน์ไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในไทย ให้คุณได้เดินเลือกชมท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคักและเต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์


สีที่ติดมือและความทรงจำที่ติดใจ
มีคนเคยบอกว่า “ถ้ามาย้อมครามแล้วมือไม่เลอะสีน้ำเงิน กลับไปก็เหมือนมาไม่ถึง”
รอยสีน้ำเงินจาง ๆ ที่ติดปลายนิ้วอาจล้างออกได้ในไม่กี่วัน แต่ความรู้สึกที่ได้รู้ว่า เสื้อผ้านุ่มสบายที่เราสวมใส่ ผ่านความใส่ใจต่อทั้งธรรมชาติและคนทำอย่างแท้จริง ความรู้สึกอิ่มเอมใจนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน
สุดสัปดาห์นี้ ลองพาตัวเองไป ‘เปื้อนคราม’ กันดูสักครั้งไหม?

