เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มตัวแล้ว โดยในเดือนนี้อุณหภูมิจะสูงที่สุด กับมีลมกระโชกแรงในบางแห่ง ภาคเหนือและภาคอีสาน อาจมีอุณหภูมิสูงสุดถึง 42 องศาเซลเซียส คนส่วนใหญ่นิยมไปท่องเที่ยวทางทะเล และเที่ยวตามจังหวัดใหญ่ เนื่องจากในเดือนเมษายน มีประเพณีสงกรานต์ที่เป็นวันหยุดยาว
เมื่อประเทศไทยเริ่มเข้าสู่เดือนเมษายน อุณหภูมิก็ค่อย ๆ สูงขึ้น ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่สามารถหนีความร้อนของอุณหภูมิได้ แต่จะดีกว่าไหม ถ้าอากาศร้อนแล้ว เจอธรรมชาติสวย ๆ พักกายพักใจไปกับสายลมเย็น ๆ ที่มาพร้อมกลิ่นทะเล ส่วนทะเลที่ห้ามพลาดจะมีที่ไหนกันบ้างมาดูกันเลย…
เกาะตาชัย จังหวัดพังงาเปิดให้ท่องเที่ยวในเดือนพฤศจิกายน - เมษายน แต่จะสวยงามที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน หลังจากนั้นเกาะตาชัยจะปิด 6 เดือน เพราะเป็นช่วงมรสุม จุดเด่นของที่นี่คือการเดินเล่นบนหาดทรายสีขาวเม็ดละเอียด การเดินเข้าป่าไปดูปูไก่ และการดำน้ำดูปะการังก็เป็นกิจกรรมที่ห้ามพลาดเช่นกัน
อีกหนึ่งเกาะที่ห้ามพลาด เพราะสวยงามจนติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก คือ หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ สวยจนได้รับฉายาว่า “มรกตแห่งอันดามัน สวรรค์เกาะพีพี” มีที่มาจาก เวิ้งอ่าวคู่ของอ่าวต้นไทรและอ่าวโละดาลัม โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ บวกกับท้องทะเลเป็นสีเขียวมรกตสวยใส โอบล้อมหาดทรายขาวนวลละเอียดราวกับแป้งของ อ่าวมาหยา พร้อมแนวปะการังและสรรพชีวิต หลากสีสันนานาพันธุ์ในโลกใต้ทะเล ที่รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสความสวยงาม ช่วงเวลาที่เหมาะจะไปเที่ยวคือ เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน เพราะเป็นช่วงที่ฝนตกน้อยที่สุด สถานที่ต่อไปที่เราจะแนะนำกัน ต้องเหมาะกับสายดำน้ำดูปะการังแน่นอน เพราะที่นี่ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น แหล่งปะการังน้ำตื้นที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย นั่นก็คือหมู่เกาะสุรินทร์ เป็นแหล่งดำน้ำชมปลาการ์ตูน และเต่าทะเลที่หาดูได้ยาก เพราะฉะนั้น หน้าร้อนที่ไม่ควรพลาดไปสัมผัสกับความงดงาม ณ หมู่เกาะสุรินทร์ ส่วนช่วงเวลาที่เหมาะจะเดินทางท่องเที่ยวคือ เดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนพฤษภาคม
หลบลมทะเลมาเที่ยวที่อื่น ๆ กันบ้าง ด้วยเดือนเมษายนนี้มีประเพณีเก่าแก่ของไทยคือ ประเพณีสงกรานต์ ในวันนี้จะใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ มีการรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ต่อมาในสังคมไทยสมัยใหม่เกิดเป็นประเพณีกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นับว่าวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว อีกทั้งยังมีประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่ดั้งเดิม อย่าง การสรงน้ำพระที่นำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ไทยที่มีความสุขโดยในวันนี้จะมีผู้คนมากมาย ออกมาเล่นน้ำคลายร้อนกัน ส่วนสถานที่ยอดนิยม จะมีที่ไหนบ้าง ทางเราก็รวบรวมมาให้แล้ว เริ่มจากกรุงเทพมหานคร จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากย่านสยามสแควร์ ถนนข้าวสารและถนนสีลม ที่เหล่าวัยรุ่นจะมาเล่นน้ำกันที่นี่ อีกทั้งยังมีกิจกรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ภาคเหนือ สถานที่ขึ้นชื่อเลยคือจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีจุดเล่นน้ำที่อยู่ในคูเมือง หนาแน่นไปด้วยชาวไทยและชาวต่างชาติ มาถึงสงกรานต์บางแสน ก็ต้องนึกถึงวันไหลกันแน่นอน เพราะที่นี่สามารถเล่นน้ำทะเล และยังเล่นน้ำสงกรานต์ควบคู่ไปด้วย ส่วนจุดรวมตัวของคนภาคอีสาน ก็ต้องเป็นถนนข้าวเหนียว จังหวัดขอนแก่น ทีนี่มีขบวนแห่สงกรานต์ ขบวนแห่พระพุทธพระลับ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวขอนแก่น ตักบาตร สรงน้ำพระ ไปที่นี่ที่เดียวครบสูตรแน่นอน ส่วนภาคใต้แค่พูดชื่อก็ร้องอ๋อแน่นอน นั่นคือ หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ที่นี่จะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก มีการแห่ขบวนพระพุทธสิหิงค์รอบหาด ให้ประชาชนได้สักการะ มีรำวงย้อนยุค และลิ้มรสอาหารของภูเก็ต ที่นี่จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมของคนใต้
นอกจากทะเล และการเล่นน้ำในประเพณีสงกรานต์แล้ว ยังมีสถานที่สวยๆ ที่เปิดให้ชมเพียงแค่ช่วงเดือนนี้ด้วย วัดใต้น้ำ สังขละบุรีจังหวัดกาญจนบุรี อุโบสถหลังเก่า ของวัดวังก์วิเวการามที่จมอยู่ใต้น้ำ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เมื่อน้ำลดระดับลง เมืองบาดาลทั้งเมืองก็จะเผยความงดงามของโบราณสถาน ให้ปรากฏแก่สายตา ของผู้มาเยือนเสมอๆ หากนักท่องเที่ยวท่านใดที่ยังไม่มีโอกาสมาเยือนเมืองบาดาล แนะนำว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือระหว่างเดือนมีนาคม ถึงเมษายน น้ำในเขื่อนจะลดลงต่ำที่สุด เหมาะแก่การล่องเรือชมเมืองบาดาลที่หาชมได้ยาก ส่วนอีกที่ไม่อยากให้พลาดเลยคือ ปราสาทหินพนมรุ้งจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นโบราณสถานศิลปะแบบเขมร ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วองค์ประกอบและแผนผังของปราสาทพนมรุ้งได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง และเน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง นั่นคือปราสาทประธานซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านขวาของบันไดทางขึ้นสู่ศาสนสถานมีอาคารที่เรียกว่า พลับพลา อาคารนี้อาจจะเป็นอาคารที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พลับพลาเปลื้องเครื่อง ซึ่งเป็นที่พักจัดเตรียมองค์ของพระมหากษัตริย์ ก่อนเสด็จเข้าสู่การสักการะเทพเจ้าหรือประกอบพิธีกรรมในบริเวณศาสนสถาน โดยทุกปีเราจะได้ ชมปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่พระอาทิตย์ขึ้นและตก ส่องแสงลอดช่องประตู ทั้ง 15 บาน ของปราสาทพนมรุ้ง เพียง 4 ครั้งเท่านั้น โดยพระอาทิตย์ขึ้นลอดช่องประตู 2 ครั้ง ในเดือน เมษายน และกันยายน พระอาทิตย์ตกลอดช่องประตู 2 ครั้ง ในช่วงมีนาคม และตุลาคม ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ที่หาชมได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น